วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561

ทำไมต้องทำเว็บไซต์ ตอนที่ 3 เรื่อง เว็บไซต์ 3 วิ



เคยมั้ยครับ ที่คลิกลิงค์เข้าเว็บในไลน์ หรือเข้าเว็บไซต์ผ่านเฟซบุ๊ค จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ เช่น สนใจหัวข้อที่เกริ่นนำแล้วอยากอ่าน อยากเสพข้อมูล โดยการคลิกเข้าไปอ่าน

จากนั้นขั้นตอนต่อไป ก็คือ การรออ่าน..ในระหว่างนี้เอง เป็นเรื่องวัดใจเลยทีเดียวสำหรับ คนทำหลังบ้านของเว็บไซต์ เพราะเราไม่รู้ว่า ผู้ชมเว็บเราได้ใช้มือถือยี่ห้อ หรือสเปคอะไร ความเร็วเน็ตแรงแค่ไหน ในการเข้ามาอ่าน

จนกว่า ผู้ใช้จะคลิกเข้ามาอ่านที่เว็บไซต์ของเรา ถึงจะมีรีพอร์ตตรวจสอบได้ว่า เป็นใครมาจากที่ไหน สนใจอ่านเรื่องอะไร ในเว็บไซต์ของเรา

คำถามที่จั่วหัวเอาไว้ว่า ทำไมต้องเว็บไซต์ 3 วิ นั่นเป็นเพราะว่า เวลาผู้ชมคลิกเข้ามา เขาจะอดทนรอข้อมูลที่เขาต้องการอ่านได้ไม่เกิน 7 วิ อย่างเก่งเลย ไม่เกิน 10 วินาที ถ้าข้อมูลไม่สำคัญจริงๆ ก็จะโบกมือลากันไปเลย และจะไม่กลับเข้ามาเยี่ยม

เยือนอีกจากสถิติ ไม่เชื่อก็ต้องลองคลิกเข้าเว็บแล้วนับในใจดูครับ 1,2,3,4….9, 10 ฯลฯ

คนทำเว็บหลังบ้าน ต้องท่องไว้ในใจในแต่ล่ะลิงค์ที่ส่งไปให้ผู้ชมเลยครับว่า 1-2-3 เปิดได้ อะไรทำนองนี้ เพื่อเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ชมเว็บไซต์ของเรา

จึงอยากมาสรุปว่า ทำเว็บ สวยสร้าง อลังการ มโหฬาร ฟูลออฟชั่น สุดบรรยาย อาจจะมาตกม้าตายกับเรื่อง 3 วินาที นี่ก็ได้

(ปล.ผมโดยมาแล้ว)

โยคา เว ชายเต ภูริ
ปัญญา ย่อมเกิดขึ้น เพราะการฝึกฝน

แล้วพบกันในตอนต่อไปครับ
credit by นายการตลาดทีม
http://www.naikantarad.com

ทำไมต้องทำเว็บไชต์ ตอนที่ 2 เว็บไซต์ขายของออนไลน์

ทำไมต้องทำเว็บไชต์ ตอนที่ 2 เว็บไซต์ขายของออนไลน์



ต่อจากบทความที่แล้ว ตอนปฐมบท มีหลังไมค์เข้ามาบอกว่า..อยากอ่านแบบเนื้อๆ ตัดน้ำออกไปหน่อย..จริงๆ แล้วผมก็ยังชอบที่ใช้ WordPress เป็นตัวนำในการสร้างเว็บไซต์มากกว่า แต่ก็จะอนุโลมสักหน่อยตามคำขอ

สำหรับ คนที่ไม่เคยทำเว็บขายของมาก่อน ก็อาจจะมองว่าง่ายไม่เห็นจะมีอะไร ก็แค่โพสต์รูปสินค้าและราคาแค่นั้น (ขายได้หรือเปล่ายังไม่รู้)

บางคนก็มองว่า สร้างเว็บไซต์เอง ไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะไปขายในเฟซได้ หรือที่อื่นๆ เช่น ลาซ่าด้า เป็นต้น ซึ่งที่ว่ามา ก็ยังเป็นเว็บไซต์อยู่ดี แต่เป็นพื้นที่ของคนอื่นเค้า

ไม่อยากบอกว่า เปิดร้านขายของเป็นของตนเอง และไปเช่าที่ขายในตลาด ถ้า ทำได้ทั้ง 2 ที่ ก็ควรที่จะทำ เพราะสามารถหาลูกค้าได้ ทั้ง 2 แห่งเลย

ทําเว็บขายของออนไลน์ เท่าที่นึกได้เป็นข้อข้อจะมีดังนี้

1 domain name + hosting ต้องพร้อม
2 wordpress + woocommerce
3 ข้อมูลสินค้า + รูปภาพ + ราคา
4 บทความเงื่อนไขและหน้าติดต่อ

ข้อต่างๆเหล่านี้ ก็พอที่จะทำให้เห็นหน้าต่าง หรือหน้าตา เว็บขายของออนไลน์ได้คร่าวๆ แล้ว.. แต่ยังก่อนเรื่องยังไม่จบแค่นั้น

เปิดร้านขายของทั่วไป มีลูกค้าเดินผ่านมาหยิบของดูแล้วตัดสินใจซื้อ และจ่ายตังค์ ถือถุงหิ้วออกไปมันดูง่ายไม่มีอะไร ลูกค้าจับต้องได้

แต่ในร้านขายออนไลน์เรื่องแบบนี้ โคตรยากสุดๆ ซึ่งมันอาจจะต้องใช้ระบบ COD หรือเรียกหรูๆ ว่า Cash on Delivery คือบริการเก็บเงินปลายทางนั่นเอง ที่ต้องไปทำสัญญากับบริษัทขนส่ง เพื่อให้เขาไปส่งของพร้อมเก็บเงินมาให้เรา

อันนี้ยังไม่รวมไปถึงการโปรโมทเว็บร้านค้าออนไลน์ การทำ PR Online การทำคลิปวีดีโอ การเขียนบทความที่เป็น DNA ในแบบฉบับของเรา และยังมีเรื่องอื่นๆเช่นหลังบ้าน การส่งของแบบรวดเร็ว การเคลมสินค้าใหม่ บริการหลังการขายที่มี

คอลเซ็นเตอร์จะบริการแบบ 24 ชั่วโมง เป็นต้น

ดังนั้นพื้นฐานของบริษัทที่ขายของแบบมีหน้าร้านปกติ จะไปได้เร็วขึ้นในเรื่องออนไลน์ เพราะมีเรื่องหลังบ้านและทีมงานอยู่แล้ว จะไม่เหมือน SME ซุปเปอร์ฮีโร่ฉายเดี่ยว ที่กระโดดมาทำเว็บขายของออนไลน์

..ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ง่ายเลย ใช้เวลา ต้องลงทุนและทุ่มเทกันเป็นอย่างมาก และต้องมีทีมงานที่ฝึกอบรมในเรื่องออนไลน์มาพอสมควรเพื่อให้ทันต่อตลาด

ซื่อสัตย์ ใฝ่เรียนรู้ ฝึกฝนอดทน แล้วพบกันในตอนต่อไปครับ Credit by นายการตลาดทีม
http://www.naikantarad.com

วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทำไมต้องทำเว็บไซต์ ปฐมบท



การทำเว็บไซต์ก็เหมือนกับการอยากประกาศอะไรสักอย่าง เหมือนการทำป้าย หรือการเขียนหนังสือ ฯลฯ เพราะเว็บไซต์เป็นเครือข่ายที่สามารถเข้าชมได้ทั่วโลก

มีพูดไว้ว่า เว็บไซต์ในโลกใบนี้มีถึง 25% ที่สร้างมาจาก WordPress หรือเว็บไซต์ซอฟต์แวร์ ซึ่งนิยมนำมาทำเว็บองค์กร, เว็บขายของออนไลน์ หรือแม้แต่เว็บแอพพริเคชั่นสำหรับงานเฉพาะด้าน
การเริ่มต้นสร้างเว็บด้วยการเรียนรู้ WordPress ว่าใช้ทำเว็บยังไง จะทำให้เข้าใจภาพรวมของคำว่า การทำเว็บไซต์ สำหรับคนที่ทำธุรกิจถ้าต้องการทำเอง ไม่อยากจ้างใครก็แนะนำเครื่องมือนี้เลย เพียงแค่ลงทุนเรียนรู้ผ่านยูทูป หรือซื้อหนังสือมาอ่านก็น่าที่จะเพียงพอทำเว็บเบื้องต้นได้แล้ว

สำหรับผมเองไม่ได้เริ่มมาจากตรงนั้น..ถ้าก่อนหน้านั้น ( ปี 48-49) ผมไม่ค่อยจะสนใจในเรื่อง การทำเว็บไซต์เลย เพราะส่วนตัวรู้สึกว่า มันยาก โดยเฉพาะต้องมาทำความเข้าใจเรื่อง ภาษาเขียนโปรแกรมสร้างเว็บ เช่น ภาษา html, css หรือ javascript และแม้กระทั่งใช้ตัวช่วยอย่าง Dreamweaver โปรแกรมยอดฮิตในการสร้างเว็บ..ใจมันก็ไม่ชอบเอาซะเลย

ผมเลือกที่จะเรียนภาษาอังกฤษดีกว่า เพราะเรียนแล้วรู้สึกว่า มันได้ใช้เลย เช่น คุยกับฝรั่ง หรืออ่านนิยายอังกฤษ เป็นต้น ตอนนั้นผมบ้าเรียนแล้วมั่วๆ เขียนบล้อคท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษไปเลย..
จนมีเพื่อนที่ทำงานเป็นฝรั่งอยู่ 2 คนนั่นแหละ ได้มาสอนและแนะนำให้ผมทำเว็บไซต์ด้วย cms ที่ชื่อว่า joomla ซึ่งเป็นตัวช่วยในการสร้างเว็บไซต์ที่ฮิตมากๆ ในตอนนั้น

ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีในการเริ่มทำเว็บไซต์มาตั้งแต่นั้น และอีกอย่างเพื่อนๆ ที่รู้จักกันก็อยู่ในวงการทำเว็บไซต์ทั้งนั้น ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ต้องเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง จริงๆ แล้วผมอยากหาเรื่องเดียวกัน คุยกับเพื่อนมากกว่า เลยต้องพลอยฝึกทำเว็บไซต์ไปด้วยจะได้มีเรื่องคุยกันได้ถูกคอ

ข้อดีอีกอย่างในการทำเว็บไซต์คือ การได้ฝึกภาษาอังกฤษ เพราะถ้าอย่างเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ การเข้าไปอ่าน textbook ใน wordpress.orgถือว่า คุ้มมากๆ เพราะจะมีเทคนิคใหม่ๆ อัพเดทมาตลอด จุดแข็งอีกอย่างของ wordpress คือการที่มีปลั้กอินใหม่ๆ มาให้ได้ติดตั้งเข้าไปในเว็บได้เลย ซึ่งจะเพิ่มความสามารถของเว็บไซต์เรา แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกันคือ ถ้าเราไม่ได้จำเป็นต้องใช้ก็จะทำให้เว็บเราหนักไปโดยใช่เหตุ

ในตอนนั้น blogspot ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการทำเว็บ หรือพูดได้ว่า ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ เพียงแค่อัพรูป ลงบทความเราก็สามารถมีเว็บไซต์ได้แล้ว
เอาเป็นว่า บทความนี้ทางเดินในการทำเว็บไซต์เองนั้น แม้จะเป็นเรื่องเดียว แต่ก็มีเครื่องมือให้ทำเยอะมาก หลากหลายวิธี เช่น สร้างเว็บด้วย

1. ภาษา html+css+javascript
2. โปรแกรม Dreamweaver
3. CMS Joomla
4. WordPress
5. Blogspot

ซึ่งแต่ล่ะอันก็มีข้อดี ข้อด้อยแตกต่างกันไปครับ สำหรับผมได้ลองเล่นมาทุกอันวนไปวนมา และสุดท้ายก็มาชอบใจในเครื่องมือที่ชื่อว่า WordPress อยู่ดี..

หลงคนเสียใจ หลงทางเสียเวลา หลงศึกษาวนไปวนมา
ในบทหน้าผมจะมาเล่าเจาะลึกในการทำเว็บไซต์ต่อนะครับ
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nethivath.com

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ทำงานหนัก อย่าลืมดูแลตัวเองและคนรอบข้าง


สวัสดีครับ วันนี้ผมเพิ่งกลับจากงานออกตลาดภาคสนามของภาคเหนือมา ตะลุยไปกับทีมงาน 10 จังหวัดเลยทีเดียว เลยต้องรีบมาเขียนบทความแชร์ประสบการณ์เอาไว้กลัวจะลืม. ครับการทำงานนั้นเป็นเรื่องที่ดี มีคำที่ท่านพุทธทาสกล่าวเอาไว้ว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม” และมีคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ว่า “ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข” นั่นก็คือ การทำงาน คือการปฏิธรรม และคือความสุข นั่นเองครับ แต่ถ้ามากเกินไป โดยหักโหมร่างกายจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บ และไม่สนใจคนรอบข้างและครอบครัว ก็ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งเลยใช่มั้ยครับ ต้่องแบ่งและแยกแยะตรงนี้ให้ออกด้วยนะครับ บางคนเอาผลของงานมาข่มคนอื่นให้ลำบากใจ จนผิดใจกันไปก็มี

ทำงานให้ถูกวิธีต้องมีความสุข นั่นก็คือสุขกาย สุขใจ และให้คนรอบข้างคนร่วมงานมีความสุขด้วยนะครับ ผมมีลูกค้าท่านหนึ่ง มาสั่งซื้อน้ำมังคุดแซนเฮิร์บส์ผสมสมุนไพร 16 ชนิด จำนวน 10 ลัง ซี่งปกติลูกค้าทั่วไปจะซื้อที่ 1 ลัง (มี 12 ขวด) เท่านั้น  (1 ลังจะดูแลสุขภาพโดยทานได้ประมาณ 2 เดือน โดย 1 ขวดขนาดบรรจุที่ 250 ซ๊ซี ทานได้ 5 วัน ทานครั้งล่ะ 25 ซีซี ตอนเช้าและตอนเย็น) ผมได้ถามลูกค้าว่า ซื้อไปขายต่อเหรอครับ ลูกค้าบอกว่า ไม่ได้ซื้อไปขายต่อหรอก ป้าซื้อทานเองลังเดียว ส่วนที่เหลือนำไปแจกคนแก่ ที่บ้านต่างจังหวัดด้วย เพราะคนแก่แถวบ้านไม่ค่อยได้ดูแลตนเอง สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ปวดเมื่อยและนิ้วชานิ้วล็อคบ่อย เพราะทำงานหนักตามประสาคนทำนา ทำไร่ ทำสวน

ผมเลยได้ให้ส่วนลดพิเศษคุณป้าไป จากเรื่องราวที่ผมได้ไปพบประสบมา จึงเกิดแรงบันดาลใจอยากนำมาเขียนเล่าว่า คุณป้าท่านนี้ ยังแข็งแรงดี เพราะรู้จักดูแลตนเอง สุขภาพดี หน้าตาผ่องใส เสียงดังฟังชัด ไม่แหบแห้ง ทั้งนี้ยังได้แบ่งปันส่งต่อสุขภาพดีไปให้คนอื่นๆ ทำให้ได้ทั้งความสุขและสุขภาพดีไปในตัว ทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวที่ว่า “ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” เพราะถ้าร่างกายเราแข็งแรง สุขภาพดี เราจะทำประโยชน์อะไรอีกได้มาก และสามารถพูดได้เต็มปากว่า อายุเป็นเพียงตัวเลขจริงๆ ครับ

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ข้อความจากกัลยาณมิตร สุดยอดนักธุรกิจออนไลน์

วันนี้มีข้อความส่งตรงมาให้ผมอ่านถึงบ้าน จากอาจารย์กมลเวช เมืองศรี ต้องขอขอบคุณท่านมากๆ ครับ ท่านเป็นกัลยาณมิตรที่ดีในโลกออนไลน์ของผมตลอดกาล ผมเลยนำมาโพสต์ให้ท่านผู้อ่านดังนี้นะครับ

6 สุดยอดข้ออ้างที่จะทำให้ห่างไกลจากความสำเร็จ

1. ไม่มีเงิน
ไม่มีเงิน ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคบอกเล่า ‪#‎คนไม่สำเร็จชอบใช้ประโยคบอกเล่า‬ เล่าเหตุผลถึงสาเหตุแห่งความไม่สำเร็จ และเขาไม่มีค้นหาสาเหตุที่เขาไม่สำเร็จพบได้ ‪#‎คนสำเร็จชอบถามคำถาม‬ เราจึงควรจะถามตัวด้วยความถามเช่น “เราจะหาเงินจากช่องทางไหนได้บ้าง?” คิดๆๆๆ แล้วจะได้คำตอบ มีพลังและสร้างสรรค์กว่า บอกเล่าเหตุผลความไม่เอาไหนของเราให้คนเขารู้

2. ไม่มีเวลา
ไม่มีใครสนใจหรอกว่าคุณจะใช้เวลาไปกับเรื่องอะไร คนอื่นมองแค่ผลลัพธ์ของคุณเท่านั้น ถ้าคุณบริหารเวลาได้ไม่ดีพอ ผลลัพธ์ชีวิตของคุณมันก็ตอบด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว

3. ทำไม่เป็น
ทุกคนมีครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น ทำไม่เป็น ไม่ได้แปลว่า ทำไม่ได้ ถ้าอยากเห็นความสามารถของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ลองตั้งคำถามดูครับว่า “ต้องทำยังไง?”

4. ไม่ได้เรียนมาทางนี้
ความรู้ ไม่ได้สิ้นสุดแค่ในรั้วมหาลัย ใบปริญญาไม่ได้การันตีอนาคต ถ้าคุณเลือกที่จะหยุดเรียน ก็ห้ามบ่นถึงเรื่องความก้าวหน้า เพราะมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น

5. ยังไม่พร้อม
คำนี้มองได้สองมุม ทั้งนี้ต้องดูวิสัยทัศน์ของคนพูดด้วย ว่าเขา “ขี้เกียจทำ” หรือกำลัง “รอจังหวะ” วิธีสังเกตุง่ายๆคือ ให้ดูการเตรียมพร้อมของคนๆนั้น

6. ไม่มีอะไรใหม่ๆให้ทำแล้ว
คนที่พูดประโยคนี้คงมองไม่เห็นโอกาสที่เหลืออยู่ เพราะคิดว่าอะไรใหม่ๆ ก็มีคนทำไปหมดแล้ว จะให้ตนเองคิดนวัตกรรมก็คิดไม่ออก แต่คำว่าใหม่ๆ ไม่ได้หมายถึงการสร้างสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีในโลกนี้มาก่อน ที่จริง ใหม่หมายรวมถึงการพัฒนาของสิ่งเดิมให้ดีขึ้นด้วย

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ”ประหยัดรายจ่าย”
แต่เค้ารวยจากการ” สร้างรายได้”

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ”ทำงานง่าย”
แต่เค้ารวยจากการ” ทำงานยาก”

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ”ทำงานหนัก”
แต่เค้ารวยจากการ” ทำงานฉลาด”

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ”คิดเยอะ”
แต่เค้ารวยจากการ” คิดเป็น”

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ”ขายแรงงาน”
แต่เค้ารวยจากการ” ขายไอเดีย”

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ”ปฏิเสธโอกาส”
แต่เค้ารวยจากการ” มองหาโอกาสทุกเวลาจะทำให้คุณล้าหลังจากความสำเร็จ”

ความสำเร็จรอเราอยู่ที่จุดหมาย ขอเพียงเลิกใช้ข้ออ้างทั้งหลายมาหยุดยั้งการเริ่มต้นของเรา และกล้าที่จะย่างเท้าออกไปทีละก้าว ทีละก้าว แล้วเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เราก็จะถึงเส้นชัยอย่างแน่นอน

เครดิต: อาจารย์กมลเวช เมืองศรี
**************************************************************************

ผู้ที่จะร่ำรวยเป็นเศรษฐีนั้นต้องมี คาถาหัวใจเศรษฐี 4 อย่าง นั่นคือ อุ อา กะ สะ ผมเห็นพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายพากันบูชา และท่องบ่นสวดภาวนาเป็นประจำ มีน้อยนักที่พ่อค้าแม่ค้าจะไม่สวดภาวนาพระคาถานี้ ซึ่งมีความหมายดังนี้
  • อุ คือ ขยันหา มาจากคำว่า อุฏฐานสัมปทา
  • อา คือ รักษาให้ดี มาจากคำว่า อารักขสัมปทา
  • กะ คือ มีเพื่อนดีเคยชี้แนะ มาจากคำว่า กัลยาณมิตตตา
  • สะ คือ ใช้ชีวิตให้เหมาะสมตามฐานะ ไม่ฟุ่มเฟือย มาจากคำว่า สมชีวิตา
ถ้าข้ออื่นๆ ยังมีน้อยหรือไม่ค่อยมี ข้อว่า กัลยาณมิตตตา ควรทำให้มีมากยิ่งขึ้น เพราะมีความพิเศษตรงที่จะทำให้ข้ออื่นๆ ตามมาโดยอัตโนมัติครับ  ไม่ว่า จะเป็นลูกค้า, ซัพพลายเออร์, ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุน, ญาติสนิทมิตรสหาย เป็นต้น เพราะถ้ามีข้อ 3 นี้บริบูรณ์เจริญยิ่งขึ้นแล้ว ข้ออื่นๆ จะค่อยๆ ดีขึ้น และมีมาเองครับ

ผมเชื่อว่า ทุกๆ ท่านมีกัลยาณมิตรอยู่แล้ว แต่อย่าลืมที่จะรักษาท่านเหล่านั้นเอาไว้ และหาเพิ่มเติมให้มากยิ่งๆ ขึ้น การมีกัยาณมิตรมาก ความโชคดีก็มีมามากเช่นกันครับ

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

ท่านเป็นอาจารย์ผมโดยไม่รู้ตัวมา 1 ปี

วันนี้ผมอยากมาแชร์เรื่อง การเรียนรู้ในโลกออนไลน์เชื่อว่า หลายท่านคงเคยดูยูทูบออนไลนสอนเทคนิคต่างๆ เช่น การใช้งานโปรแกรม, การทำอาหาร, การขายของออนไลน์ เป็นต้น

ผมก็ได้อาศัยช่องทางนี้แหละครับในการเรียน รู้ โดยได้มีกูรูท่านหนึ่งมาโพสต์คลิปสอนการค้าขายบนโลกออนไลน์เอาไว้ และผมได้ติดตามมาเป็นเวลากว่า 1 ปี คือสอนผมได้ทุกวันว่างั้นเหอะ ผมเพิ่งจะโทรไปขอบคุณท่าน เมืออาทิตย์ที่ผ่านมานี่เองว่า ด้วยความเคารพผมขอนับถือท่านเป็นอาจารย์นะครับ ให้ผมเรียกท่านว่า อาจารย์ก็แล้วกัน เพราะที่ผมสามารถเปิดร้านค้าออนไลน์และขายของได้ ต้องยอมรับว่า ความรู้ได้มาจากท่านมากกว่า 80% เลยทีเดียวสิ่งที่ท่านให้แง่คิด และเทคนิคต่างๆ ในยูทูป ผมนำเอามาปรับใช้ในงานขายออนไลน์ และได้ผลค่อยข้างดีเลยทีเดียวครับ

จากนั้นท่านก็ได้อำนวยพรให้ผมขายดิบ ขายดีในโลกออนไลน์เป็นเทน้ำ เทท่าตลอดไป และเมตตานัดแนะทีมงานของท่านให้ผม เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ผมว่า ท่านก็คงจะงงเหมือนกันนะครับ อยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้ โทรเข้ามาขอบคุณ และคงคิดต่อว่า ผมได้ไปสอนคุณตอนไหน ไม่คุ้นชื่อเลยนะ ยิ่งหน้าตาไม่ต้องพูดถึง ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เอาเป็นว่า ในโลกออนไลน์อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ

ซึ่งแต่ล่ะเทคนิคต่างๆ บางคนใช้แล้วเวิร์ค บางคนก็ไม่เวิร์ค การมีอาจารย์ผู้เคยแนะนำเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียวครับ อันนี้ต้องขอขอบคุณ Youtube ที่สร้างสรรค์ระบบ VDO Online ดีๆ เอาไว้

และต้องขอขอบคุณทีมงานของอาจารย์ที่มาแชร์ ประสบการณ์การขายของออนไลน์ และยังให้โค้ตผมล็อคอินเข้าไปฟังบรรยายสดๆ ได้ที่ห้องเรียนออนไลน์ได้ทุกวัน ทำให้ผมได้เปิดหู เปิดตา เหมือนกบได้ออกจากกะลา เหมือนปลาได้ว่ายออกมหาสมุทร เลยทีเดียวครับ และผมคิดว่า ผมจะได้ความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ มาฝึกฝน และนำมาแชร์ให้ทุกท่านได้อ่านกันอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้นครับ
ภาพสอนสดออนไลน์ ที่ทีมงานท่านอาจารย์ชวนผมเข้าร่วมครับ


ปล.ท่านเป็นอาจารย์ผมโดยไม่รู้ตัวมา 1 ปีนั้นคือ อาจารย์กมลเวช เมืองศรี ครับ สนใจอยากร่วมเรียนรู้สุดยอดวิชา ค้าขายในโลกออนไลน์ ติดต่อผมได้ที่ 084-7541192 // Line: nethivath  ขอจบการแชร์บทความไว้แค่นี้ก่อน แล้วพบกันในโลกออนไลน์ครับ

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

ขายทางไลน์ได้ด้วย!! จะดีแค่ไหน

ครับจริงแท้ทีเดียว การขายสินค้าทางไลน์สะดวกเอามากๆ เพราะลูกค้าเองก็ไม่ต้องโทรถามให้เสียกะตังค์ อยากรู้อะไรจากผู้ขายก็ไลน์มาถามหรือ จะขอดูสินค้าก็ได้ว่า มีพร้อมส่งอยู่จริงมั้ย ผมเองหลายครั้งที่จำเป็นต้องถ่ายสินค้าให้ลูกค้าดู รวมไปถึงสลิปหลักฐานการส่งของต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่น และทางเราผู้ขายเองก็ขอให้ลูกค้าส่งสลิปโอนเงิน มาให้เราดูทางไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็วได้เช่นกัน ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบคือ ให้ลูกค้าแชร์สถานที่มาให้เราได้ด้วย เวลาที่เราไปส่งสินค้าจะได้ไม่หลงทาง ให้เสียน้ำมันและเวลา ดีฉิบ…
ทริปการขายทางไลน์
  1. ส่งข้อมูลต่างๆ ให้ลูกค้าดูเพื่อให้มั่นใจ
  2. ขอชื่อ-ที่อยู่ในการ จัดส่งทุกครั้ง ถึงลูกค้าจะไม่ได้สั่งก็ตาม
  3. ส่งโปรโมชั่นต่างๆ ให้ลูกค้าดู (เราควรเตรียมพร้อมเอาไว้เสมอ)
  4. ไทม์ไลน์ของเรา อย่าปิดการแชร์เป็นอันขาดให้เปิดเป็นสาธารณะ (ลูกค้าไล่เช็คประวัติเราครับ)
  5. ควรติดต่อลูกค้าเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ
การขายสินค้าผ่านไลน์มีข้อดีมากมายอย่างนี้ พกร้านค้าติดตัวไปไหนก็ได้ สนใจมาเรียนรู้ร่วมกัน แอดไลน์มาได้ที่ ID:nethivath // 084-7541192 เพียงแค่เลือกสินค้าและวิธีการให้ถูก ผมเชื่อว่า คุณก็ขายสินค้าทางไลน์ได้เช่นกันครับ หรือติดตามอ่านเรื่องราวอื่นๆ ได้ที่ www.nethivath.com ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

เสี่ยงที่สุด คือไม่กล้าเสี่ยง

การขายสินค้าออนไลน์ ต้องมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน และองค์ประกอบนั้นๆ ก็ต้องสมบูรณ์แบบในตัวเองด้วย 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาผมทดลองไม่โฆษณาสินค้าผ่าน Adwords ดูผลปรากฏว่า ยอดขายสินค้าลดลงไปมากพอสมควร แค่เนี่ยก็เพียงพอคำการพิสูจน์คำว่า เสี่ยงที่สุดคือการไม่กล้าเสี่ยง แล้วนั่นเองครับ
เพราะว่า การโฆษณาผ่าน Adwords ต้องมีการจ่ายเงินค่าแคมเปญออกไปก่อนเพื่อเป็นเครดิตในการตัดเงินออกไป ตอนที่มีลูกค้าเห็นโฆษณาแล้วตัดสินใจคลิกลิงค์เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา การคลิกเข้ามาชมสินค้าในเว็บไซต์ของเรานั่นแปลว่า เราต้องจ่ายค่าคลิกแล้ว ลูกค้าจะซื้อหรือไม่ เป็นหน้าที่ของหน้าเว็บเราแล้วว่า มีรูปภาพ และบทความเพียงพอที่จะให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าของเราหรือไม่ แต่หน้าที่ของ Adwords ได้จบลงแล้วคือ ส่งลูกค้าเข้ามาในร้านเราแล้วว่า งั้นเหอะ หน้าที่ต่อไป คือเว็บไซต์เรามีความสามารถมัดใจลูกค้าได้เพียงใด ฝีมือการทำเว็บให้ขายของได้ ก็พอวัดวากันได้ตรงนี้แหละครับ
” เสี่ยงที่สุด คือไม่กล้าเสี่ยง ” ด้วยเหตุผลดังนี้
– ผมไม่กล้าเสี่ยง ซื้อโฆษณาหรอก
– เสียค่าคลิกแล้ว ยังขายไม่ได้ก็ขาดทุนนะซี
– จะคุ้มมั้ยเนี่ย ของก็ซื้อมาตุ๋นไว้ เว็บก็ต้องจ้างเขาทำ ค่าโปรโมทเว็บยังต้องทำอีกหรือ?
– ไม่เอาดีกว่า หาทางอื่นให้คนเข้าเว็บดีกว่า เอาไว้ก่อน
อันนี้ผมทดลองด้วยตัวเองมากับมือแล้วนะครับ ได้ผลลัพธ์คือยอดขายสินค้าตก แต่ยังมีบางคนเทพมากๆ ไม่ต้องพึ่ง Adwords ก็ได้ ส่วนตัวผมคงต้องพึ่งพากันต่อไปตลาดกาล  แล้วพบกับครับ

ติดตามบทความได้ที่ www.nethivath.com

Recent News